ยุทธนา วรุณปิติกุล
ตอนที่ 2 ไขความรู้ในคลื่น 7 ชั้น รับมือโลกร้อน มหาสมุทรป่วน
คลื่น 7 ชั้น ที่พาคนรอดชีวิตจากสึนามิเป็นภูมิรู้หรือภูมิปัญญาความรู้ท้องถิ่นและชาติพันธ์ แบบหนึ่ง ที่อธิบายว่าทำไมสหประชาชาติให้ความสำคัญต่อความรู้นอกตำราวิทยาศาสตร์แบบตะวันตก เพื่อจัดการ กับปัญหาโลกร้อนหรืออยู่กับยุคภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนและมหาสมุทรแปรปรวนได้อย่างลดความเสี่ยง
คลื่นลูกที่ 3 คลื่นความรู้ชายขอบและท้องถิ่น ในยุคโลกร้อนมหาสมุทรแปรปรวน
ช่วง ค.ศ.1850-1859 อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1 องศาเซนเซียส
ช่วง ค.ศ.2020 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงกว่า ช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมราว 1.4 องศาเซนเซียส
ภายในศตวรรษที่21นี้(ค.ศ.2000-2099)คาดว่าโลกจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นราว 3 องศาเซนเซียส แม้ทุกประเทศจะมีแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้วก็ตาม
บนแผ่นดิน การเกิดไฟป่าที่รุนแรงแบบไฟป่าออสเตรเลีย ในปี 2023 จะเป็น "ภาวะปกติ" ของโลกอนาคตที่อุณหภูมิสูงขึ้น 3 องศาเซลเซียส
ปี ค.ศ.2023 เป็นปีที่อากาศของโลกมีอุณหภูมิเพิ่มสูงที่สุดนับจากช่วง ค.ศ.1850-2023 คือสูงกว่าตลอดศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมา
ภาพที่ 1 แสดงภาวะโลกร้อน แสดงอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในช่วง 47 ปี จากช่วงปีคศ. 1976-2023
ที่มา: https://www.climate.gov
ภาพที่2แสดงอุณหภูมิมหาสมุทร ที่สูงขึ้นในช่วงปีคศ. 2016 โดยแบ่งเป็นเฉดความเย็น อุ่น ร้อน ร้อนสุด อุณหภูมิเพิ่มสูง คือ พื้นที่สีแดงเข้ม ที่มา : National centers for Environmental information
ในมหาสมุทรและทะล ในส่วนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ทะเลไทยทั้งสองฝั่ง มหาสมุทร คืออันดามันฝั่งมหาสมุทรอินเดียและอ่าวไทยต่อเนื่องมหาสมุทรแปซิฟิก ระดับ อุณหภูมิสูงขึ้น ทะเลร้อนขึ้น
คำอธิบายเพิ่มเติมจากข้อมูลนี้ ในแง่ผลให้เกิดทั้งปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว นั่นคือ ปะการังในฐานะระบบนิเวศแหล่งอาศัยสัตว์ทะเลต้องเสียหาย และปรากฏการณ์ที่สอง คือ ภาวะทะเลกรด คือ น้ำทะเลมีความเป็นกรดสูงขึ้น ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อระบบนิเวศทะเล อีกหลายส่วน ตลอดจนการตายของแหล่งหญ้าทะเลหลายหมื่นไร่ ที่เป็นอาหารของพะยูน จนเกิดการอพยพหนีความอดอยาก ของพะยูนส่วนหนึ่งหนีตายจากเกาะลิบง เมืองหลวงของ พะยูนใน จ.ตรังสู่ภูเก็ต และอ่าวพังงา ที่พบเห็นการปรากฏตัวของพะยูนกลุ่มหนึ่ง
ภาพกราฟ แสดงความเปลี่ยนแปลงระดับความร้อนในมหาสมุทร60 ปี ในช่วง คศ.1960-2020
ผลกระทบต่อนิเวศทะเลและมหาสมุทร : เมื่อโลกร้อน ทะเล มหาสมุทรก็ร้อนขึ้น เพราะ มหาสมุทรและระบบทะเลที่เชื่อมต่อกันทั้งโลก เป็นแหล่งลดความร้อนจากภาวะโลกร้อนโลก คล้ายเป็น หม้อน้ำระบายความร้อนแล้ว มหาสมุทรยังเป็นแหล่งกำเนิดวัฎจักรภูมิอากาศ ลม ฝนและพายุ ทะเลที่ร้อนขึ้นจึงนำมาซึ่งภาวะฝนตกในแบบแผนใหม่ๆ เช่น ฝนตกหนัก พายุขนาดใหญ่ ที่ขณะนี้ใช้คำทั่วๆไปว่า Rain Bomb
ข้อมูลในช่วงทศวรรษ 1950 ถึง2019 พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรโลกในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 0.075 องศาเซลเซียส เทียบกับช่วงปี 1981-2010 มหาสมุทรดูดซับความร้อนของโลกไว้มากกว่าที่คาดถึง 60% มหาสมุทรร้อนจนระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้น 30 ซม.ก่อนสิ้นศตวรรษที่21นี้ โดยอุณหภูมิของทะเล ที่สูงขึ้น ทำให้เกิดสภาวะอากาศที่แปรปรวน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น ตามอุณหภูมิ ที่เกิดจากการพัฒนาแบบตะลุยใช้ทรัพยากรเพื่อสนองความอยากและความรวย ขณะที่การเพิ่มขึ้นของ อุณหภูมิทะเลส่งผลต่อวัฎจักรภูมิอากาศ วงจรฝนและการเกิดพายุรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏ
แผนภาพที่3 ให้ข้อมูลปรากฏการณ์ฝนฟ้าทั่วโลกในปีนี้คือ คศ.2024 (ข้อมูลล่าสุด ถึงเดือนพย.) ชี้ให้เห็นถึงผลจากภาวะ
โลกร้อนโลกรวน และภาวะทะเลร้อนขึ้น ที่ส่งผลต่อภูมิอากาศและวัฎจักรฝนแปรปรวน เกิดภาวะลม
ฝนฟ้าและพายุในรูปแบบใหม่ๆในทุกภูมิภาค(Region)ของโลก
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กรณี ประเทศไทยกับเพื่อนบ้านรายรอบไทยและ มาเลเซีย ที่เกิดภาวะฝนตกหนักอย่างผิดปกติ ที่นำสู่ภาวะน้ำท่วม ระบุถึงการอพยพหนีภัย พิบัติธรรมชาติของพลเมืองจำนวนมากในภูมิภาค โดยสภาพมหาสมุทรและทะเล
ทะเลฝั่งอันดามัน และมหาสมุทรอินเดียเจอกับพายุไซโคลนถล่มเข้าอินเดียและศรีลังกา ส่วนทะเลฝั่งอ่าวไทยและมหาสมุทรแปซิฟิก เผชิญกับซุปเปอร์ใต้ฝุ่น เป็นครั้งแรกนับจาก ค.ศ.1951ที่ส่งกระทบหนักต่อฟิลิปปินส์ นอกเหนือจากการเผชิญพายุไต้ฝุ่นปกติตามฤดูกาล
ความเสี่ยงต่อภัยพิบัติสูงขึ้น ต้องเผชิญปรากฏการณ์ พายุใหญ่ ฝนตกหนัก และการแปรปรวนของวัฏจักรฝน เกิดผลต่อเนื่องคือ ภาวะน้ำท่วมฉับพลัน เช่น ฝนตกหนัก และน้ำท่วมในสเปน กรณีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฝนตกหนักและน้ำท่วม ดินโคลนถล่ม ในพม่า มาเลเซียและประเทศไทย (เฉพาะปี2567 อาทิ กรณีน้ำท่วม เชียงราย ,กรณีน้ำท่วมเชียงใหม่ กรณีภูเก็ต ,กรณีน้ำท่วมหาดใหญ่ ยะลา ปัตตานี , ล่าสุดกรณีน้ำท่วมนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ ชุมพร ) ในระยะยาว ปริมาณฝนที่ไม่ปกติ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันหรือภัยแล้ง ที่มีความรุนแรงขึ้น , การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อการจับปลาและการใช้ ทรัพยากรของคนชายฝั่ง ตลอดจนปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัย
คลื่นลูกที่ 4 การค้นหาภูมิความรู้ที่ถูกลืมเพื่อรับมือโลกร้อนและมหาสมุทรแปรปรวน
ละบูน คลื่น 7 ชั้น คือภูมิปัญญาความรู้ในตำนานและเรื่องเล่าของชาวเล เป็นเพียงกรณีตัวอย่างหนึ่ง ใน ระบบ ความรู้ ชาติพันธ์หลากหลายที่ถูกลบลืม จนในยุคสมัยของโลกที่แปรปรวนและมหาสมุทร ซึ่งเป็นระบบนิเวศที่ใหญ่ที่สุดในโลกและทรงอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของชีวิตแต่ ทะเลและมหาสมุทร กำลัง “ร้อนเปรี้ยวและหายใจไม่ออก”
สหประชาชาติจึงได้ประกาศทศวรรษแห่งมหาสมุทร( คศ.2021-2030 )UN Ocean decade เพื่อกระตุ้นให้ประชาคมโลกตระหนักถึงคุณค่า และร่วมกันศึกษาความรู้ชาติพันธ์ทะเลและภูมิปัญญา ท้องถิ่นต่างๆในชุมชนท้องถิ่น ที่จำเป็นต่อการผสานกับความรู้วิทยาศาสตร์มหาสมุทรและทะเล เพื่อช่วยในการจัดการรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติในยุคโลกร้อนและทะเลเดือด ส่วนใหญ่เป็น ความรู้ในรูปแบบภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาติพันธ์ทั่วโลก
กล่าวเฉพาะ ในกรณีการทำความเข้าใจความรู้และภูมิปัญญาของชาวเลในเฝ้าการสังเกตสึนามิ จะช่วยเสริมสร้างการเฝ้าระวัง การจับตา การเตือนภัย นั่นคือการจัดการรับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
1.ด้วยการผสมผสานภูมิปัญญาชาวเลและเทคโนโลยีสมัยใหม่: เพื่อการเฝ้าระวัง สังเกตการณ์ และเตือนภัยล่วงหน้าร่วมกับความรู้ดั้งเดิมของชาวเลในความรู้การสังเกตธรรมชาติของชาวเลและชุมชน, การส่งเสริมการนำความรู้ด้านการรับมือสึนามิและภัยพิบัติธรรมชาติอื่นในชุมชนชายฝั่ง สร้างเครือข่าย ข้อมูลจริงจากท้องถิ่นสนับสนุนระบบเตือนภัยหลักได้แม่นยำขึ้นท้องถิ่นจะเข้าถึงและประเมินสถานการณ์จากพื้นที่แบบReal time โดยไม่ต้องรอศูนย์กลางสั่งการเตือนภัยแบบเดิม
2.การศึกษาความรู้ธรรมชาติ อาทิ การศึกษาความรู้ชาวเลผสานกับการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติ ในระบบหลัก, การจัดโอกาสให้ชาวเล และชุมชนท้องถิ่น ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ร่วมกับการปรับใช้ความรู้ ดั้งเดิมตอบสนองภัยพิบัติธรรมชาติและการจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อมชายฝั่งที่ผสานความรู้
การสื่อสารสู่สาธารณชน สื่อสารความรู้ท้องถิ่นที่ถูกทอดทิ้ง รื้อฟื้น สนับสนุนการเรียนรู้ ผ่านสื่อสาร มวลชนและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่ความรู้แบบภูมิปัญญาที่ถูกลืมในบริบทความเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติที่ใกล้ตัว ดังกรณีฝนตก น้ำท่วมจากเหนือสุดจนถึงใต้สุดของประเทศ กระตุ้นการใช้ประโยชน์ความรู้ ท้องถิ่นผสานกับวิทยาศาสตร์ ดังตัวอย่างเช่น ในอินโดนีเซีย หรือการใช้ความรู้ของชาวเอสกิโม กับการติดตาม สังเกตการเปลี่ยนแปลงการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก และติดตามสถานะความ เปลี่ยนแปลงที่ใกล้ชิดพื้นที่ ร่วมกับภาพดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันความรู้เชิงภูมิปัญหาเหล่านี้ก็สูญหาย ขาดการสืบทอดไปมาก จากการ พูดคุยกับชาวเล จะพบว่าคนในหลายช่วงอายุในชุมชนมอแกลน เทพรัตน์ ที่อพยพสึนามิ จากเกาะพระทอง มาอาศัยบนแผ่นดิน คนรุ่นอายุ 88ปี , อายุ 64 ปี และอายุ35 ปี ให้ข้อมูลที่ตรงกัน คือ ความไม่รู้ในเรื่อง เล่าคลื่น 7 ชั้น ไม่รู้จัก ละบูน ส่วนภาษามอแกลนก็ฟังได้ถ้าเป็นประโยคง่ายๆในชีวิตประจำวัน เท่านั้น ที่ปัจจุบันกลายเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นที่อยู่จากเดิมจากสึนามิ
“อยากกลับไปอยู่เกาะเหมือนเดิม ชอบกว่าแบบนี้แต่บ้านไม่มีแล้ว “
ยายริ่ว กล้าทะเล อายุ 88 ปี ผู้ย้ายถิ่นจากเกาะพระทอง
บทส่งท้ายในวาระ 20 ปีสึนามิ
ข้อคิด: ความรู้ดั้งเดิมของชาวเลในการสังเกตคลื่นยักษ์สึนามิและการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติเป็น ความรู้ที่ถูกลืม เป็นความทรงจำที่หายไป เป็นความรู้ในการติดตามธรรมชาติ และการ ตือนภัย (Early warning) เพื่อป้องกันภัยพิบัติและลดทอนความเสียหายร้ายแรง ดังนั้นการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับความรู้วิทยาศาสตร์และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วย รับมือกับภัยพิบัติธรรมชาติ ในยุคเสี่ยงภัยพิบัติธรรมชาติที่สูงขึ้น
ความหวัง : ควรให้ค่าต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นโดยเฉพาะความรู้ชายขอบของชาติพันธ์ และส่งเสริมความรู้ท้องถิ่น เพื่อติดตั้งระบบเตือนภัยในตัวพลเมือง นั่นคือความรู้เอาตัวรอด ซึ่งเป็นเครื่องมือมีประสิทธิภาพสูง ดังที่เด็กหญิงชาวอังกฤษที่มาเที่ยวภูเก็ตใช้ความรู้สึนามิ ในชั้นเรียน ช่วยคนบนหาดหนีรอด เช่นเดียวกับที่ชาวเล มอแกน พานักท่องเที่ยวขึ้นที่สูง รอดพ้นภัย ด้วยความทรงจำเรื่อง ตะบูน คลื่น 7 ชั้น ที่เล่าผ่านกันมาหลายร้อยปีจากสิ่งที่ บรรพบุรุษชาวเล เคยเผชิญในอดีตจากหลักฐานโบราณคดีที่เกาะพระทอง มีร่องรอย สึนามิยักษ์เมื่อราว 600 ปี ก่อน (ตีพิมพ์ในวารสารวิจัย Nature ตค.2551)
หมายเหตุ: บทความนี้มุ่งสำรวจข้อมูลภาคสนาม บทความวิจัย เพื่อทำความเข้าใจ ความสำคัญของภูมิปัญญาชาวเล ในยุคเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้สภาพนิเวศทะเลและอากาศแปรปรวนมากขึ้น รวมถึงแนวทางการ นำความรู้เหล่านี้มาใช้ในการรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต.
แหล่งข้อมูล:
Syahputra, H. (2019). Indigenous knowledge representation in mitigation process: a study of communities’ understandings of natural disasters in Aceh Province, Indonesia. Collection and Curation, 38(4), 94-102.
Moura, G. G. M., & Diegues, A. C. S. A. (2023). The Production of the Human in Classical Oceanography: A Critics from Socio-environmental Oceanography. Ambiente & Sociedade, 26, e0196.
Gasalla, M. A., & Diegues, A. C. (2011). People's Seas: “Ethno‐Oceanography” as an Interdisciplinary Means to Approach Marine Ecosystem Change. World Fisheries: A Social‐Ecological Analysis, 120-136.
Tsuji, Y., Namegaya, Y., Matsumoto, H., Iwasaki, S. I., Kanbua, W., Sriwichai, M., & Meesuk, V. (2006). The 2004 Indian tsunami in Thailand: Surveyed runup heights and tide gauge records. Earth, planets and space, 58, 223-232.
พิพิธภัณฑ์บ้านน้ำเค็ม อ.ตะกั่วป่า จว.พังงา
Comments