top of page
Writer's pictureclassyuth

The Crown ซีซัน 5(2022)

Updated: Dec 19, 2023

“ท่วงทำนองละอองดาว และความทรงจำแห่งรักที่ไม่เคยจางหาย”



“เมื่อล่วงเข้าสู่วัยหนึ่ง ยากที่เราจะไม่น้อมรับการทบทวนเรื่องราวในใจ ทั้งหมดทั้งมวล ในชั่วชีวิตที่ผ่านมา ความรัก ความฝัน ความปรารถนาครั้งเยาว์วัย ซึ่งน่าสนใจที่พบว่า มีบางสิ่งที่ยังเหลืออยู่ และกลายเป็นรักที่ยังไม่จางหาย ทั้งได้รู้ว่าบางอย่างนั้น ไม่ใช่รักแท้..” เจ้าหญิงมาร์กาเรต พระขนิษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 ประทานสัมภาษณ์ทางวิทยุ ตอบคำถามถึงเรื่องราวความรักของพระองค์ ที่เป็นที่สนใจของสื่อตลอดมา


ทรงทิ้งท้ายไว้ว่า หนึ่งในสิ่งที่แน่แท้สำหรับพระองค์คือ ดนตรี และได้เลือกเพลงที่มีความหมายพิเศษต่อพระองค์ เพลงนั้นคือ Stardust ของ Hoagy Carmichael


"Though I dream in vain แม้ฝันของฉันจะเปลี่ยวร้าง

In my heart it will remain ในใจฉันยังอยู่ท่ามกลาง

That stardust melody ท่วงทำนองละอองดาว

The memory of love's refrain. ของความทรงจำแห่งรักที่ไม่เคยจางหาย"






หลังให้สัมภาษณ์ไม่นานเจ้าหญิงได้รับจดหมายจากฝรั่งเศส นามผู้ส่งคือ นาวาเอกปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ ผู้เป็นรักแรกของพระองค์ จดหมายฉบับนี้ห่างถึง 35 ปี จากฉบับสุดท้ายที่เขาเขียนมาบอกว่า ได้พบและจะแต่งงานกับหญิงสาวชาวฝรั่งเศส ที่เป็นความรื่นรมย์น้อยนิดในชีวิตอันอับเฉาของเขา “ผมรู้ดีว่า การตัดสินใจนี้ ทำให้พระองค์รู้สึกว่าโดนหักหลัง”






เจ้าหญิงมาร์กาเรตพบกับนาวาเอกปีเตอร์ ทาวน์เซนด์ ใน ปี 1947 ขณะชันษา 17 พรรษา ในเวลานั้น

ปีเตอร์ซึ่งแก่กว่าเจ้าหญิง 10 ปี แต่งงานแล้ว และมีลูกสองคน


ในจดหมายปีเตอร์ทูลถามว่า มีโอกาสไหมที่เจ้าหญิงจะเสด็จร่วมงานราตรีสโมสรเพื่อเป็นเกียรติ แก่อดีตทหารที่เคยประจำการบนเรือรบหลวงแวนการ์ด


“เรือหลวงแวนการ์ด..” สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธตรัสขึ้น หลังเจ้าหญิงมาร์กาเรต นำเรื่องมาทูลเล่า ด้วยเรือแวนการ์ด คือสถานที่เจ้าหญิงและปีเตอร์พบกันครั้งแรก


“ตอนนั้นฟิลิปเพิ่งขอแต่งงาน พี่ตอบตกลงว่า “รับค่ะ” เจ้าหญิงย้อนความ

“ท่านพ่อ บอกว่า “อย่าเพิ่ง”และจับเราขึ้นเรือเยือนประเทศต่างๆ สามเดือน หวังว่าพี่จะได้สติ” พระ ราชินีตรัส

“ขณะเดียวกันน้องก็ขาดสติมากขึ้นทุกที ระหว่างขี่ม้ายามเช้า กับอัศวรักษ์รูปหล่อ” เจ้าหญิงเสริมต่อ


นาวาเอกปีเตอร์ ทาวเซนด์ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลม้า(อัศวรักษ์) ของพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาของเจ้าหญิง ตั้งแต่ปี 1944 แต่ทั้งสองพบกันในปี 1947 เมื่อปีเตอร์ตามเสด็จราชวงศ์ไปเยือนอาฟริกาใต้ เป็นเวลา 3 เดือน ในหน้าที่ราชองครักษ์น้องสาววัย 16 ของเจ้าหญิงรัชทายาท

“เราไปขี่ม้าด้วยกันทุกเช้า ในเมืองที่แสนงดงามและอากาศยอดเยี่ยม ตอนนั้นเอง ที่ฉันตกหลุมรักเขา” เจ้าหญิงมาร์กาเรต กล่าวในการให้สัมภาษณ์สื่อในเวลาต่อมา


ปัญหาเป็นดังที่พระราชินีตรัส “อัศวรักษ์สุดหล่อที่แต่งงานแล้ว”


เรื่องราวของทั้งสอง เป็นข่าวในปี 1953 เมื่อมีภาพเจ้าหญิงปัดเศษผงที่ติดเสื้อเจ็กเก็ตให้ปีเตอร์ และทั้งสองประกาศหมั้นในปีเดียวกัน


แม้ปีเตอร์จะหย่าขาดกับภรรยาในปี 1952 แต่ นิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ ในเวลานั้น ไม่อนุญาตให้แต่งงานใหม่หลังหย่าร้าง และตามข้อบังคับเกี่ยวกับการสมรสของราชวงศ์ เจ้าหญิงต้องขอพระบรม

ราชานุญาตจากสมเด็จพระราชินี หากสมรสก่อนอายุครบ 25 ชันษา


ด้วยเหตุที่ราชวงศ์ไม่สนับสนุนความสัมพันธ์นี้ เช่นเดียวกับรัฐบาล ปีเตอร์ถูกส่งไปเป็นผู้ช่วยฑูตทหารที่บรัสเซลส์เป็นเวลา 2 ปี จนกว่าเจ้าหญิงอายุครบ 25




อย่างไรก็ตาม การสมรสยังต้องขอความยินยอมจากรัฐสภา ซึ่งแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า ไม่สนับสนุน ในเวลานั้นเจ้าหญิงเป็นรัชทายาทลำดับที่ 3 ถัดจากเจ้าชายชาร์ล และเจ้าหญิงแอน พระราชินีและรัฐสภาหารือว่า จะยกเลิกกฎหมายการแต่งงานของราชวงศ์ ที่มีมาตั้งแต่ปี 1772 และถอดเจ้าหญิงมาร์กาเรตตลอดจนทายาทในอนาคต ออกจากการสืบราชสันตติวงศ์ แต่คงไว้ซึ่งฐานะเดิมของเจ้าหญิง


เจ้าหญิงมาร์กาเรตเขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรีแอนโทนี เอเดน แจ้งพระประสงค์ที่จะพบกับปีเตอร์อีกครั้ง หลังไม่เจอกัน 2 ปี เพื่อดูว่าพระองค์จะยังคงประสงค์จะแต่งงานกับเขาหรือไม่


อาจเป็นกระแสสังคมในเวลานั้น ที่ราชบัลลังก์ยังไม่มั่นคงนัก และชาวอังกฤษยังไม่ลืมเรื่องที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ซึ่งเป็นลุงของเจ้าหญิง เลือกสละราชราชบัลลังก์เพื่อแต่งงานกับนางซิมสัน ที่ผ่านการหย่าร้างมาเช่นกัน





เจ้าหญิงจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากสละมงกุฎหากต้องการแต่งงาน แต่เจ้าหญิงเลือกจะรักษาสถานภาพเดิมไว้ การประกาศถอนหมั้น ไม่เพียงเป็นข่าวใหญ่ในอังกฤษ แต่ยังขึ้นหน้าหนึ่ง The New York Time ของอเมริกาด้วย


เจ้าหญิงแถลงผ่านวิทยุ BBC ว่า พระองค์ทราบดีว่า การสละสิทธิ์ในการสืบสัตติวงศ์ ส่งผลให้พระองค์สามารถแต่งงานในทางกฎหมายได้ แต่พระองค์เลือกที่จะยุติความสัมพันธ์ “ด้วยความตระหนักดีถึง

คำสอนของคริสตจักรที่ว่า การแต่งงานทางศาสนานั้นมิอาจลบล้าง และด้วยสำนึกในหน้าที่ต่อเครือจักรภพ ที่ข้าพเจ้าให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด”

หลังถอนหมั้นในปี 1955 และแต่งงานใหม่ในปีเดียวกัน ปีเตอร์ย้ายไปตั้งรกรากในฝรั่งเศส และอยู่ที่นั่นตลอดชีวิต







ในปีถัดมา(1965) เจ้าหญิงแต่งงานกับช่างภาพคนดัง แอนโทนี อาร์มสตรอง-โจนส์ ที่พบกันหลังแอนโทนี ทำหน้าที่ถ่ายภาพให้ราชวงศ์ เขาเป็นสามัญชนคนแรกที่แต่งงานเข้าสู่ราชวงศ์ ในรอบ 400 ปี และได้รับการแต่งตั้งเป็นลอร์ดสโนดอน นับเป็นคู่ที่เฉิดฉายในวงสังคมชั้นสูงอยู่หลายปี มีลูกสองคน และหย่าร้างกันในปี 1978


เจ้าหญิงยังคงปรากฎตัวอย่างโดดเด่นในงานสังคมระดับสูง ด้วยเครื่องแต่งกายที่งดงามในฐานะผู้นำแฟชั่น ก่อนยุคของเจ้าหญิงไดอานา ตลอดเวลามีข่าวซุบซิบถึง เรื่องราวความไม่สมหวังในชีวิตรักหลายต่อหลายครั้งของเจ้าหญิง รวมถึงชีวิตส่วนพระองค์กับชายหนุ่มอายุน้อย


ใน The crown ซีซัน 5 EP Annus Horribilis ว่าด้วยเรื่องราวรักต้องห้ามของราชวงศ์ แสดงให้เห็น ช่วงเวลาในบั้นปลายชีวิตของเจ้าหญิง ที่ค่อนข้างโดดเดี่ยวกับกิจวัตร จิบชาน้ำผึ้งมะนาวยามเช้า ตามด้วยบุหรี่และเหล้าคอกเทล ทำให้ไออย่างหนัก


“หวังว่าไม่ต้องรออีกสี่สิบปีกว่าจะได้พบกันอีกครั้งนะ” เจ้าหญิงตรัสกับปีเตอร์ ในงานราตรีสโมสร

ปีเตอร์บอกว่า เขาอายุมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงต้องการนำจดหมายของเจ้าหญิง ที่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีทุกฉบับ คืนให้กับพระองค์ “ทุกครั้งที่อ่านก็จะคิดถึงช่วงเวลานั้น และคิดเสมอว่าช่างล้ำค่า”

เขาไม่ต้องการให้ความล้ำค่านี้ตกอยู่ในมือคนอื่น


เจ้าหญิงบอกว่า พระองค์ก็เก็บจดหมายของเขาทุกฉบับไว้อย่างดีเช่นกัน


ต่อมาปีเตอร์นำจดหมายมามอบให้เจ้าหญิง ประจวบกับเพิ่งเกิดเหตุไฟไหม้พระราชวังวินเซอร์ ปีเตอร์ถามถึงห้อง “คริมสัน” ที่ทั้งสองเคยใช้เวลาช่วงบ่ายด้วยกัน “เราคุยกันเรื่องอะไรกัน สงสัยคงจะหาสาระไม่ได้กระมัง” เจ้าหญิงว่า “ส่วนใหญ่ก็เป็นการวางแผนอนาคตร่วมกัน ด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่น” ปีเตอร์ตอบ “เช่นเดียวกันแผนพวกนั้น ห้องคริมสันก็ไม่รอด” เจ้าหญิงพูดถึงห้องคริมสันที่ถูกไฟไหม้ไป พร้อมกับอีกหลายห้องในพระราชวังวินเซอร์





“ฉันอยากรู้ว่า ทำไมคุณจึงเขียนจดหมายถึงฉันหลังผ่านมาเนิ่นนาน” เจ้าหญิงถาม

“ชีวิตใช่จะดำรงอยู่ตลอดไป” ปีเตอร์ว่า เขาไปพบหมอที่แจ้งว่าเขาอาจจะมีชีวิตได้อีกไม่นานนัก

“ช่วงใกล้ๆ กันนั้น ผมได้ยินที่คุณให้สัมภาษณ์ทางวิทยุ เลยอยากจะรู้ว่า รักของเรา หากทบทวนใน ชั่วชีวิตที่ผ่านมา เป็นเรื่องชั่วแล่นหรือคงอยู่ตลอดมา”


ปีเตอร์กลับไปโดยไม่รอฟังคำตอบ


สำหรับเขามันคือช่วงเวลาที่ล้ำค่า ปีเตอร์ไม่เคยหาประโยชน์ โดยการขายจดหมายหรือเรื่องราวของเขากับเจ้าหญิง แม้ในปี 1978 หลังจากถอนหมั้น 23 ปี ปีเตอร์เขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเอง เขาก็ไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับเจ้าหญิง มีเพียงบันทึกเป็นความทรงจำ ว่า เจ้าหญิงสามารถแต่งงานกับเขาได้ หากยอมสละทุกทุกอย่าง ทั้งฐานะ เกียรติยศ รวมถึงทรัพย์สินเงินทอง และเขารู้ตัวดีว่า ตัวเขาไม่มีน้ำหนักพอสำหรับสิ่งที่เจ้าหญิงต้องสูญเสีย


เมื่อปีเตอร์ตายในปารีส ในปี 1995 สำนักราชวังแถลงว่า เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตรู้สึกเสียพระทัยกับข่าวนี้







ใน เดือนกุมภาพันธ์ 2002 หลังจากที่ป่วยมาระยะหนึ่ง สำนักราชวังประกาศว่า สมเด็จพระราชินี มีทรงเศร้าโศกพระทัยเป็นอย่างยิ่งและขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า พระกนิษฐาที่รักยิ่งของพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ลงอย่างสงบ ในขณะนอนหลับ ที่โรงพยาบาลคิงเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระชนมายุ 71 ชันษา


เจ้าหญิงไม่ได้ตอบปีเตอร์ แต่พระองค์ได้ระบายความรู้สึกที่เก็บไว้ยาวนาน กับสมเด็จพระราชินี ว่าสิ่งที่พระองค์พรากไปจากเจ้าหญิงนั้นคือ "รักแท้" เมื่อไม่มีสิ่งนี้ “ต้นไม้จะอยู่ได้อย่างไร หากขาดแสงแดดและน้ำ”


ถึงจะขมขื่นและเสียใจ แต่พระองค์เข้าพระทัยดีว่า สมเด็จพระราชินีไม่ทรงอยู่ในฐานะที่ตัดสินพระทัยใดๆ โดยไม่คำนึงถึงสถานะของราชบัลลังก์และราชวงศ์ และ “ถึงอย่างไรน้องก็รักพี่” “พี่ก็รักเธอ..รักมาก” สมเด็จพระราชินีตอบ


แม้ชีวิตในบั้นปลายของเจ้าหญิงมากาเร็ตจะโดดเดี่ยวและเรื่องราวความรักของพระองค์ขมขื่น แต่ยังมีความเปล่งประกายของรักแรก ที่เป็นรักแท้ในชีวิต


 


Stardust (ฉบับของ Hoagy Carmichael จะไม่มีสองท่อนแรก)


And now the purple dusk of twilight time และยามนี้แสงม่วงหม่นของสนธยา

Steals across the meadows of my heart ทอดเงามาทาบในหัวใจฉัน

High up in the sky the little stars climb ดาวดวงน้อยลอยสูงขึ้นสู่ฟ้า

Always reminding me that we're apart เตือนใจฉันเสมอว่า เราพรากจากกัน


You wander down the lane and far away เธออยู่บนหนทางห่างแสนไกล

Leaving me a song that will not die ทิ้งไว้เพียงเพลงหนึ่งซึ่งไม่จางหาย

Love is now the stardust of yesterday รักยามนี้เป็นเพียงละอองดาวของวันวาน

The music of the years gone by ดนตรีกาลของเวลาที่พ้นผ่านนานหลายปี


Sometimes I wonder why I spend บางคราฉันนึกสงสัย เหตุใด

the lonely nights dreaming of a song ในค่ำคืนอันเดียวดาย ให้คิดถึงเพลงหนึ่ง

The melody haunts my reverie ที่ท่วงทำนองพาสู่ภวังค์

And I am once again with you และฉันได้พบกับเธออีกครั้ง


When our love was new ครั้งรักเรายังใหม่

And each kiss an inspiration เมื่อจูบยังเป็นแรงใจ

Ah but that was long ago แต่นั่นก็นานมากแล้ว

Now my consolation is in the ยามนี้ความสุขใจของฉัน

stardust of a song อยู่ในละอองดาวของบทเพลง


Beside the garden wall when stars are bright ดาวทอแสงริมกำแพงสวน

You are in my arms ในอ้อมแขนแห่งรัก

The nightingale tells his fairy tale นกไนติงเกลขับขานเทพนิทาน

Of paradise where roses grew เล่าถึงสรวงสวรรค์ที่กุหลาบงอกงาม


Though I dream in vain แม้ฝันของฉันจะเปลี่ยวร้าง

In my heart it will remain ในใจฉันยังอยู่ท่ามกลาง

That stardust melody ท่วงทำนองละอองดาว

The memory of love's refrain. ของความทรงจำแห่งรักที่ไม่เคยจางหาย


เพลงสตาร์ดัสต์ เริ่มต้นจากการผิวปากเป็นทำนองเพลง ของ Hoagy Carmichael นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน ที่ทำไว้ใช้กันในงานสังสรรค์เล็กๆ และต่อมาได้บันทึกเสียงเป็นฉบับเพลงบรรเลง ใน ปี 1927


ในปี 1928 Mills Music ว่าจ้างให้ Mitchell Parish เขียนเนื้อร้อง และบันทึกเสียง เพลงได้รับความนิยมนักร้องนักดนตรีแจซในยุคนั้น เช่น ดุค แอลลิงตัน หลุยส์ อาร์มสตรอง เบนนี กูดแมน นำเพลงนี้ไปร้องและบรรเลงในคลับ รวมถึงในรายการวิทยุ ทำให้เป็นเพลงที่โด่งดังสำหรับทศวรรษที่ 1930


ในทศวรรษต่อมาชื่อเสียงและความนิยมที่ต่อเนื่องยืนยาวมาหลายปี ทำให้ได้รับยกย่องเ ป็น เพลง Standard เพลงนี้ได้รับการบันทึกเสียง โดยนักร้องนักดนตรีที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก รวมทั้ง แกลน

มิลเลอร์ แอลลา ฟิตเจอรัลด์ เนต คิง โคล และแฟรง สิเนตรา


นับถึงวันนี้เพลงนี้ได้รับการบันทึกเสียงไม่น้อยกว่า 1500 ครั้ง ในหลากหลายแนวดนตรี รวมทั้งได้รับการนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง เช่น Stardust Memories (1980), Goodfellas (1990), Sleepless in Seattle (1993), Casino (1995), The Aviator (2004), A Star Is Born (2018), and Captive State (2019).


ฟัง ต้นฉบับของ Hoagy Carmichael https://www.youtube.com/watch?v=lzUp234nWx8

เสียงของ Ella Fitzgerald https://www.youtube.com/watch?v=7f73g-X0ybo


 

หมายเหตุ ความจริงเพลงที่เจ้าหญิงมาร์กาเร็ตเลือกคือ Sixteen Tons ของ Tennessee Ernie Ford แต่ในซีรีย์เปลี่ยนเป็น Stardust ที่มีเนื้อร้องและท่วงทำนองสอดรับกับเนื้อหาของเรื่อง


ภาพจาก Netflix




177 views0 comments

コメント


bottom of page